ศธ.เสนอ ครม. 8 มกราฯ ของบ 400 ล้านดัน "1 อำเภอ 1 ทุน" รุ่น 4 ขยายให้เด็กเก่งเรียนสาขาขาดแคลนในต่างประเทศ รองรับประชาคมอาเซียน
จากกรณีนายสมพงษ์ จิตระดับ
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทักท้วงว่าการจัดเก็บข้อมูลสถิติการออกกลางคันของนักเรียน
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ไม่สะท้อนสถานการณ์จริง
เพราะจากการเก็บข้อมูลร่วมกับนักวิชาการด้านเด็กและเยาวชน
พบว่านักเรียนถูกผลักออกจากระบบการศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น
ยิ่งกว่านั้นพบปัญหาเด็กตั้งครรภ์ในวัยเรียน
เด็กติดเกมและเล่นเฟซบุ๊กหนักขึ้น
อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กออกกลางคันเพิ่มขึ้นนั้น
เมื่อวันที่ 1 มกราคม นายชินภัทร
ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้สัมภาษณ์ว่า
สพฐ.คงต้องไล่เช็กระบบการเก็บข้อมูลเด็กออกกลางคันของ สพฐ.ว่าดูจากตัวไหน
แต่ตามหลักการจัดเก็บข้อมูล
โดยปกติจะใช้วิธีการคิดจำนวนนักเรียนแบบชั้นเคลื่อน
คือติดตามข้อมูลเด็กปีแรกที่เข้าเรียนจนจบการศึกษาในรุ่นชั้นปีเดียวกัน
(Cohort) ถ้าหากจัดเก็บข้อมูลแบบชั้นเคลื่อนแล้ว
พบว่าข้อมูลสถิติเด็กออกกลางคันลดลงโดยไม่ถึง 0.44%
แล้วนายสมพงษ์มองว่าน่าจะคลาดเคลื่อนนั้น
ก็คงต้องมีหลักฐานและสมมติฐานที่ชัดเจนมายืนยัน
จะมาใช้ความรู้สึกส่วนตัวคงไม่ได้
"สพฐ.คงไม่ทบทวนระบบการจัดเก็บข้อมูล
ถ้านายสมพงษ์มีข้อมูลเด็กออกกลางคัน ก็อยากให้เสนอมา เพื่อจะได้ตีกรอบ
วิเคราะห์ และช่วยเหลือเป็นรายพื้นที่ไป
ซึ่งข้อมูลที่นายสมพงษ์มีอาจเป็นข้อมูลเด็กออกกลางคันที่กระจุกอยู่ในตัว
เมือง แต่ภาพรวมโดยทั่วไปเราช่วยเหลือดูแลครอบคลุมทุกพื้นที่อยู่แล้ว
ทั้งนี้ถ้าหากมีข้อมูลก็อยากให้ทำหนังสือเสนอมาที่ สพฐ.
เพื่อจะได้จัดเสวนาพูดคุยเป็นการเฉพาะ" นายชินภัทรกล่าว
ด้านนายรังสรรค์ มณีเล็ก
ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สพฐ. กล่าวว่า ข้อมูลที่
สพฐ.จัดเก็บเป็นข้อมูลที่ส่งมาจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.)
โดยเขตพื้นที่ฯรับรองข้อมูลแล้ว
สามารถย้อนกลับไปตรวจสอบได้ว่าเด็กที่ออกกลางคันเป็นใครบ้าง
และออกกลางคันโดยสาเหตุอะไร ส่วนข้อมูลของนายสมพงษ์ ตนไม่ทราบ
แต่ตนก็ระวังเรื่องนี้อยู่
ที่ปรึกษา สพฐ.กล่าวว่า
การจัดเก็บข้อมูลออกกลางคันของ สพฐ. จัดเก็บปีละ 2 ครั้ง
โดยจัดเก็บทุกวันที่ 10 มิถุนายน และวันที่ 10 พฤศจิกายน
ซึ่งของเดือนพฤศจิกายนจะเป็นการตรวจทานข้อมูลอีกครั้งเพื่อดูว่าข้อมูลช่วง
ครึ่งปีหลังเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามการจัดเก็บข้อมูลสถิติของทางราชการ
จะยึดข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายนเป็นหลัก เพราะเป็นข้อตกลงของทุกสังกัด
ทั้งนี้ ขณะนี้ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2555 จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว
แต่อยู่ระหว่างการประมวลผล
ตนจึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าข้อมูลการออกกลางคันของนักเรียนสังกัด
สพฐ.เพิ่มขึ้นหรือลดน้อยจากข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2555 อย่างไร
"ขอย้ำว่าข้อมูลสถิติของเด็กออกกลางคัน ณ
วันที่ 10 มิถุนายน 2555 เป็นข้อมูลของปีการศึกษา 2554
ฉะนั้นที่นายสมพงษ์ระบุว่าสถานการณ์การออกกลางคันของเด็กในปัจจุบันมีแนว
โน้มเพิ่มสูงขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ เพราะสำหรับผมพูดถึงข้อมูล ณ วันที่ 10
มิถุนายน 2555 ซึ่งเป็นข้อมูลของปีการศึกษา 2554
ส่วนนายสมพงษ์อาจพูดถึงข้อมูลของปีการศึกษา 2555
อย่างไรก็ตามการเสนอแนะของนายสมพงษ์ เป็นประโยชน์
โดยเฉพาะเรื่องให้เพิ่มเติมทุนการศึกษาให้แก่เด็กยากจนเทอมละประมาณ
2,000-3,000 บาท เพราะจากการศึกษานโยบายเรียนฟรี 15 ปี
พบว่าส่งผลให้เด็กออกกลางคันด้วยสาเหตุยากจนลดน้อยลง
ฉะนั้นข้อเสนอขอให้ทุนการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหานี้
ก็มีความเป็นไปได้มาก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา
สพฐ.จัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้เด็กยากจนระดับประถมศึกษา 1,000
บาทต่อคนต่อปี และเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ 3,000 บาทต่อคนต่อปีอยู่แล้ว
ส่วนเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายไม่จัดอยู่ในการศึกษาภาคบังคับ จึงไม่ได้รับ"
นายรังสรรค์กล่าว
นายรังสรรค์กล่าวว่า
ประเมินผลจึงต้องยืดหยุ่น เพราะหากไปคิดเด็กไม่เข้าห้องเรียน
เป็นการขาดเรียน ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเด็กออกกลางคันได้ ซึ่งหลัง
สพป.เชียงใหม่ เขต 1 ดำเนินโครงการ พบว่าจำนวนเด็กออกกลางคันลดลงมาก
ส่วนตัวมองว่าการจะแก้ไขปัญหานี้ได้จะต้องจำแนกตามสาเหตุและดำเนินการแก้ไข
ตามสาเหตุนั้นๆ
"สำหรับปัญหาเด็กติดเกมและติดเฟซบุ๊ก
เพิ่มขึ้นนั้น ยอมรับว่ามีแนวโน้มตามนั้น แต่การเข้าถึงไอทีก็ยังไม่ง่าย
ฉะนั้นปัญหานี้จึงมักเกิดกับเด็กในเมืองมากกว่า" ที่ปรึกษา สพฐ.กล่าว
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รอง
นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ในเร็วๆ
นี้ตนจะเสนอโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 4 ประจำปีการศึกษา 2556
เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในปีนี้
จะขยายทุนโครงการดังกล่าวออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ทุนประเภทที่เปิดโอกาสให้เด็กยากจน แต่เรียนดี และ
จะเปิดรับสมัครนักเรียนตามหลักเกณฑ์เดิม คือครอบครัวมีรายได้รวมไม่เกิน
200,000 บาทต่อปี และเกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 3.00
เน้นให้ไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
และเนื่องจากเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์
ดังนั้นจึงคิดเพิ่มทุนประเภทที่ 2 คือ เปิดโอกาสสำหรับเด็กทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถ แต่จะต้องเลือกเรียนในสาขาด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เบื้อง
ต้นจำนวนทุนของแต่ละประเภทจะอยู่ที่ประเภทละ 928 ทุน แต่หาก
ครม.พิจารณาแล้วเห็นว่าอาจจะเป็นภาระกับงบประมาณก็อาจปรับลดจำนวนทุนตามความ
เหมาะสม
"ทุนประเภทที่สองจะเน้นคัดเด็กเก่งและหัว
กะทิจริงๆ ไปเรียน อาจจะต้องกำหนดเกรดเฉลี่ยที่สูงขึ้น
ไม่มีการจำกัดรายได้ครอบครัว
แต่ต้องไปเรียนในสาขาที่รัฐบาลกำหนดในประเทศใดก็ได้
เพราะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
เราจะได้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถช่วยพัฒนาประเทศ
ขณะเดียวกันปีนี้จะเน้นเรื่องเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
เช่นที่ผ่านมา คือ
พบว่าเด็กที่ไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
บางประเทศกำหนดว่าเด็กจะต้องสอบภาษาบ้านเขาให้ได้ก่อน
ซึ่งเมื่อเตรียมตัวไม่พอ และเร่งส่งเด็กไปก่อน สุดท้ายก็เรียนไม่ได้
ต้องเลิกเรียน
ขณะเดียวกันต้องให้เด็กได้เรียนรู้การปรับตัวที่จะอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ด้วย" นายพงศ์เทพกล่าว
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.
กล่าวว่า คาดว่าในวันที่ 8 มกราคม ศธ.จะเสนอที่ประชุม
ครม.เห็นชอบในหลักการกรณีขอเพิ่มทุน 2 ประเภท
สำหรับเด็กยากจนและเด็กทั่วไปในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน
จากเดิมปีที่ผ่านมามีการปรับแก้หลักเกณฑ์ให้เด็กทั่วไปสามารถสอบชิงทุนดัง
กล่าวได้ จึงเป็นการแย่งที่นั่งเด็กยากจน
ซึ่งนายพงศ์เทพมองว่าควรแยกทุนระหว่างเด็กเก่งและเด็กยากจน ดังนั้น
ศธ.จึงเสนอเพิ่มทุนเป็น 2 ประเภท ทั้งนี้หลังจาก
ครม.เห็นชอบก็จะเร่งจัดทำหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนทุน
โดยทุนสำหรับเด็กทั่วไปจะให้เฉพาะสาขาขาดแคลน อาทิ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์
พยาบาล
ซึ่งหลักเกณฑ์และสาขาที่จะได้รับทุนนั้นคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในเดือน
มกราคมนี้
จากนั้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็จะเริ่มกระบวนการคัดเลือกนักเรียนทุน
ซึ่งจำนวนนักเรียนที่ได้รับทุน 928 คน รวมทั้งสองประเภท 1,856 ทุน
คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท
ปลัด ศธ.กล่าวว่า
ปัญหาของนักเรียนทุนโครงการนี้ ส่วนใหญ่พบว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ
ทำให้ปรับตัวลำบาก จึงพบว่านักเรียนทุนกว่า 20%
หลังจากได้รับทุนไปเรียนแล้วต้องกลับมาเรียนในประเทศ
เพราะไม่สามารถปรับตัวได้
อย่างไรก็ตามในการคัดเลือกปีนี้จะขยายประเทศที่จะไปเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมมี
ประมาณ 8 ประเทศ โดยเพิ่มประเทศในกลุ่มยุโรป
เพื่อรองรับนักเรียนทุนประเภททั่วไปในการไปเรียนในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ
ในสาขานั้นๆ ด้วย
นางพนิตากล่าวว่า
ส่วนกรณีที่นายสมพงษ์ระบุว่าเด็กตั้งท้องในวัยเรียนมีจำนวน 1.5 แสนคนนั้น
ที่ผ่านมาตนวางแผนที่จะจัดตั้งศูนย์คุ้มครองดูแลสวัสดิภาพเด็กและเยาวชนใน
โรงเรียน ทำหน้าที่เฝ้าระวังและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ซึ่งสมัยที่เป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
ได้จัดตั้งศูนย์ลักษณะดังกล่าวเพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน
ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงคิดว่าภายในเร็วๆ นี้
จะมีการหารือกับผู้บริหาร
ศธ.ในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาเด็กติดเกมและเด็กตั้งท้องในวัย
เรียน
ที่มา : นสพ.มติชน