นายรังสรรค์ มณีเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการคัดเลือกโรงเรียน 58 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการโรงเรียนนิติบุคคล เพื่อความอิสระคล่องตัวในการบริหารจัดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ทันปีการศึกษา 2556 ว่า ขณะนี้สำนักต่างๆ ใน สพฐ.กำลังยกร่างหลักเกณฑ์กลางโรงเรียนนิติบุคคลใน 4 ด้าน คือด้านงานวิชาการ งานบริหารบุคคล งบประมาณและการบริหารงานทั่วไป โดยมุ่งแนวทางที่ชัดเจนว่าทำอย่างไรให้โรงเรียนที่ออกนอกระบบแล้วมีความเป็น อิสระอย่างแท้จริง คาดว่าจะสรุปเบื้องต้นได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนข้อห่วงใยว่าหากโรงเรียนเป็นนิติบุคคลจะมีอิสระในเรื่องการระดมทรัพยากร จนเป็นช่องทางให้บีบบังคับระดมเงินจากผู้ปกครองได้นั้น ประเด็นนี้ สพฐ.ก็มีความห่วงใยเช่นเดียวกัน จึงจะกำหนดแนวทางป้องกันไว้ เพื่อไม่ให้ผู้ปกครองเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ปครองเข้ามามีส่วนร่วมในการวางหลักเกณฑ์ต่างๆของ โรงเรียน เพื่อความเหมาะสมอย่างแท้จริง
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การเป็นโรงเรียนนิติบุคคลต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญควรสำรวจความพร้อมของแต่ละโรงเรียนก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาตามมาได้ ถ้าโรงเรียนไม่พร้อมจะออกเป็นนิติบุคคลโดยอาจจะกำหนดเป็น แผนระยะยาว 3-4 ปีส่วนกรณีที่ผู้ปกครองห่วงใยเรื่องค่าเล่าเรียนที่อาจสูงขึ้นนั้น เรื่องนี้ ศธ.จะต้องมีกฎเกณฑ์ออกมาควบคุมโรงเรียนด้วย
นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะให้โรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการ เพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้โรงเรียนสามารถพัฒนาตัวเองได้รวดเร็ว โดย สพฐ.จะต้องปล่อยให้มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่ใช่ยังคอยควบคุมอยู่นอกจากนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ กำกับเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียน เพื่อไม่ให้การทำงานมีปัญหา รวมทั้งควร กำหนดสัดส่วนการรับนักเรียนให้ชัดเจนว่า จะรับนักเรียนจากผู้สนับสนุนโรงเรียนเท่าไหร่ และเหลือที่ว่างไว้สำหรับเด็กทั่วไปได้สอบแข่งขันเข้าเรียนเท่าไหร่ รวมถึงการรับเด็กด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ไม่ใช่รับแต่ลูกคนรวยอย่างเดียว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน